Thursday, May 28, 2015

"ภูมิพล เป็นคนยิง ร. 8"

ภูมิพล เป็นคนยิง ร. 8




ภูมิพล เป็นคนยิง ร. 8



Andrew MacGregor Marshall
เรียบเรียงจากเรื่อง ความลับอันสุดเศร้าของประเทศไทย  http://www.zenjournalist.org  

ของ Andrew MacGregor Marshall ผู้เขียน Thailand : A Kingdom in Crisis
ช่วงเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน  2489

ในหลวงอานันทมหิดล รัชกาลที่ 
8 ของประเทศสยามที่มีพระชนมายุ 21 พรรษา ได้ถูกยิงที่ศีรษะและเสด็จสวรรคตอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ตอนเย็นของวันนั้น เจ้าฟ้าชายภูมิพลอดุลยเดชซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์พระชนมายุ 19 พรรษา ได้รับการสถาปนาให้เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ได้ครองราชสมบัติตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขณะนี้พระองค์ทรงชราภาพและเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ทรงเก็บพระองค์เองอยู่ในโรงพยาบาลศิริราช แต่พระองค์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
โดยทางการแล้ว คดีฆาตกรรมเรื่องนี้ได้ถูกพรรณาไว้ว่าเป็นเรื่องลึกลับ เป็นปริศนาทางอาชญากรรมที่ผิดวิสัยที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ซึ่งไม่สามารถเฉลยข้อเท็จจริงออกมาได้ในศตวรรษที่ผ่านมา แต่ในความจริงแล้ว มันชัดเจนมาเป็นเวลานานแล้วว่าใครเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8  ความจริงได้ถูกปกปิดโดยระบอบเครือข่ายนิยมกษัตริย์ของประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันแสนเข้มงวด นั่นคือ กฎหมายอาญามาตรา 112  ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการบุคคลต่างๆให้กลายเป็นอาชญากร เมื่อมีการสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศไทยอย่างเปิดเผยและโดยสุจริตใจ


หลังจากที่ในหลวงอานันท์ได้เสด็จสวรรคตไปเพียงไม่กี่นาที สถานที่เกิดเหตุได้ถูกจัดเปลี่ยนอย่างจงใจเพื่อปกปิดหลักฐานต่างๆว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วคืออะไร บุคคลที่อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในตอนเช้าของวันนัั้น ไม่เคยเปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณะว่าได้เกิดอะไรขึ้น และบุคคลคนเดียวในขณะนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คือ ตัวกษัตริย์ภูมิพลนั่นเอง ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่เคยเปิดเผยเลยว่าอะไรได้เกิดขึ้น และคงจะนำความลับนี้ลงสู่หลุมฝังศพไปพร้อมๆ กับตัวพระองค์เอง ถึงแม้ว่าจะมีการทำลายหลักฐานต่างๆ และข้อเท็จจริงตามที่บุคคลที่เกี่ยวข้องได้โกหกว่าอะไรเกิดขึ้นในกรณีสวรรคต  แต่จุดสำคัญประการแรกคือ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ลอบสังหารที่ไม่มีใครรู้จัก สามารถหลบหลีกเข้าไปในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าของวันนั้นได้ การนำเอาปืนสั้น โคลท์ .45 อัตโนมัติออกมาจากตู้ที่อยู่ข้างเตียงนอนของพระองค์ ยิงพระองค์ตรงกลางศีรษะด้วยปืนกระบอกนั้น แล้วหลบหนีไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็นเลย คนที่เป็นฆาตกรจะต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่พักอาศัยในพระที่นั่งบรมพิมานเท่านััน

วิถีกระสุนเฉียงลงล่างซ้าย
แต่ทันทีหลังจากที่ในหลวงอานันท์สวรรคตไปแล้ว กลับมีการกระจายข่าวออกไปอย่างกว้างขวางว่า พระองค์ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมคือฆ่าตัวตายเอง พระชนนีศรีสังวาลย์ ได้ขอร้องกับนายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ ให้ประกาศว่า การสวรรคตเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากตัวในหลวงอานันท์เอง นายปรีดีและรัฐบาลก็ยินยอมทำตามคำขอร้องนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ในหลวงอานันท์จะยิงพระองค์เองด้วยความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุทำปืนลั่น ในขณะที่ปืนกระบอกนี้จี้อยู่ตรงหน้าผากของพระองค์ขณะที่นอนหงาย และจากวิถีกระสุนที่วิ่งจากหน้าผากผ่านกระโหลกศีรษะทะลุท้ายทอยของในหลวงอานันท์ ขณะฝ่ายนิยมระบอบเจ้าหลายคนที่เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้เริ่มการปล่อยข่าวว่า นายปรีดี พนมยงค์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ นำการสวรรคตมาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อต้องการฟื้นระบอบเจ้าแบบเก่า เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้คืนกลับสู่อดีต

อุปทูตสหรัฐ Charle Woodruff Yost
2450-2524
วันที่ 
13 มิถุนายน2489 อุปทูตชาร์ล ดับเบิ้ลยู โยสท์ (Charge d’affaires Charles W. Yost )ส่งโทรเลขลับไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรุงวอชิงตัน เล่าถึงการสนทนากับนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เพิ่งเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ภูมิพลที่ได้กล่าวยืนยันกับนายดิเรกว่า ข่าวลือต่างๆ ที่ว่านายปรีดีวางแผนปลงsพระชนม์หรือนายหลวงปลงพระชนม์พระองค์เอง เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และพระองค์มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การสวรรคตของในหลวงอานันท์เป็นเรื่องอุบัติเหตุ…… ขณะที่มรว.เสนีย์ ปราโมชส่งหลานและภรรยาของตนไปที่สถานทูตของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีปรีดีเป็นผู้วางแผนทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์

ดิเรก ชัยนาม 2447-2510
นายปรีดีและรัฐบาลของเขาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทำหน้าที่ค้นหาความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ในวันที่
18 มิถุนายน 2489ประกอบด้วย ประธานศาลทั้งสามศาล พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา และอนุกรรมการทางการแพทย์จากหลายฝ่าย
ขณะที่ฝ่ายนิยมระบอบเจ้าได้ปล่อยข่าวว่า กษัตริย์ภูมิพลก็กำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย และขอการสนับสนุนจากทูตสหรัฐและอังกฤษ เพื่อการทำรัฐประหารรัฐบาลของนายปรีดี โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องพระราชวงศ์ ขณะที่รายงานจากคณะแพทย์เมื่อวันที่
27 มิถุนายน 2489 ลงความเห็นว่ามีคนยิงรัชกาลที่ 8 




Sir Geoffrey Stuart Thompson
2448-2526
โทรเลขลับจากเอกอัครราชทูตอังกฤษเซอร์เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สัน บันทึกการเปิดเผยของนายดิเรก ชัยนาม ว่าทางวังสั่งให้ปกปิดรายงานของคณะแพทย์เป็นความลับห้ามเผยแพร่เด็ดขาด
ความพยายามของรัฐบาลนายปรีดี ที่พยายามชี้ว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุนับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของรัฐบาลเอง แม้ว่านายกปรีดีมีเจตนาจะรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นรัฐบาลนายปรีดีจำเป็นต้องดำเนินการสอบสวนเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจของตน โดยไม่ต้องไปหวั่นเกรงเรื่องใดๆอีกต่อไปโดยอาจมีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ถ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวกษัตริย์ เพราะได้เห็นพิรุธชัดเจนว่าฝ่ายราชวังได้รีบทำความสะอาดเพื่อลบร่องรอยพยานหลักฐานก่อนที่จะยอมให้ใครเข้าไปในห้องพระบรรทมที่เกิดเหตุ ส่วนปืนก็ได้ถูกนำมาวางไว้ข้างๆ และมีการจัดฉากสร้างกระแสให้เกิดความสะเทือนใจ และโกรธแค้น เพื่อโหมโจมตีนายกรัฐมนตรีปรีดีอย่างขนานใหญ่หลายระลอก  
  
ส่วนกษัตริย์ภูมิพลแสดงอาการรู้สึกหดหู่อย่างเห็นได้ชัดต่อการสวรรคตของพระเชษฐา กษัตริย์ภูมิพลดูเหมือนป่วยและซึมเศร้าตลอดเวลาไม่อยากพูดจา และเสด็จไปประทับยังเมืองโลว์ซานน์พร้อมพระชนนี เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489 เพื่อศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลว์ซานน์ ถึงแม้ว่าการไว้ทุกข์ยังไม่ครบ100 วัน แต่พระองค์ยังคงมีอาการซึมเศร้าเสมอ นานๆครั้งจึงจะเข้าไปเรียนในห้องเรียน และไม่เคยเรียนจบปริญญาใดๆเลย ในปลายปี  2489 พระองค์ส่งข้อความว่า จะไม่เสด็จกลับกรุงเทพเพื่อร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพของในหลวงอานันท์ ดูเหมือนว่าพระองค์มีพระประสงค์จะประทับอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกเป็นเวลาสองถึงสามปี เพื่อที่จะได้สำเร็จการศึกษาของพระองค์ โดยไม่มีแนวโน้มเลยว่า จะสามารถไขปริศนาเบื้องหน้าเบื้องหลังให้กระจ่างแจ้งออกมาได้


มีแต่ภูมิพล ที่เป็นคนยิงรัชกาลที่ 8

ในขณะที่การสืบสวนกรณีสวรรคตได้เริ่มเข้มข้นขึ้นถึงจุดที่พุ่งเป้าไปยังกษัตริย์ภูมิพลว่าเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ และต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ รัฐบาลกลัวว่าจะมีผลกระทบที่สั่นคลอนต่อเสถียรภาพในการเปิดเผยเรื่องราวนี้ออกมา และไม่ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติ 

จุมภฏพงษ์และมรว.พันธุ์ทิพย์
ขณะที่พวกเจ้าบางฝ่ายได้จัดเตรียมให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แทน รัฐบาลนายปรีดีได้ตัดสินใจเก็บข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวโยงถึงกษัตริย์ภูมิพลไว้เป็นความลับและทำการควบคุมการเสนอข่าวสารมิให้โยงใยไปถึงตัวกษัตริย์ภูมิพล ดังนั้น พวกนิยมระบอบเจ้าจึงต้องรีบทำการโค่นล้มรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 โดยร่วมมือกับกลุ่มคณะทหารของจอมพล ป  พิบูลสงคราม ใช้การโหมโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า นายปรีดี พยายามปกปิดซุกซ่อนหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับกรณีสวรรคต เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การยึดอำนาจของพวกเขา นายปรีดี พนมยงค์ได้หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง แล้วทำการกล่าวหาจับกุมมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนีพร้อมกันกับนายเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขาธิการ  รัฐบาลนายควงที่มาจากการรัฐประหารได้กล่าวหาว่า พวกเขาร่วมกันวางแผนเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีนายปรีดีเป็นต้นคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ แต่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ซึ่งเป็นรัชทายาทของการสืบราชสมบัติ ได้แจ้งกับเอกอัครราชทูตอังกฤษ เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สันว่ารัฐบุรุษอาวุโสไม่เคยมีส่วนรู้เห็นแต่ประการใดในเรื่องการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 8และที่สำคัญคือกรณีสวรรคตน่าจะเกิดจากที่พระอนุชาภูมิพลทำปืนลั่นโดยอุบัติเหตุ จึงต้องปกปิดเป็นความลับต่อไปอีกนานรวมทั้งการที่รัฐบาลต้องหาทางแก้ตัวให้กษัตริย์ภูมิพล รัฐบาลนายปรีดีต้องพยายามปกปิดข้อเท็จจริงแต่มันกลายเป็นว่าทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์กลับได้บาป

หลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์ ( 2444-2531)
ในเดือนกุมภาพันธ์  2491 พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน2490 จากเดือนสิงหาคม2489 จนถึงวันที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งจาก หลวงธำรงค์ได้กล่าวต่อเอกอัครราชทูตทอมพ์สันของอังกฤษอย่างหนักแน่นว่า กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงสวรรคตโดยกษัตริย์ภูมิพล โดยที่รัฐบาลของเขาไม่สามารถเปิดเผยข่าวนี้ได้ การสอบสวนที่ดำเนินการในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ได้ตัดเรื่องอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตายออกไป แต่สาธารณชนไม่ควรรับทราบสิ่งต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่สอบสวนได้ค้นพบ เนื่องจากเหตุผลของความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์จักรี นายกรัฐมนตรีหลวงธำรงได้มีคำสั่งห้ามทุกคนเปิดเผยข้อเท็จจริงตามสำนวนการสอบสวนโดยเด็ดขาด

Edwin F. Stanton
ในเดือนถัดมา หลวงธำรงค์ฯ ได้กล่าวอย่างชัดเจนยิ่งกว่าทุกๆ ครั้ง กับนายเอ๊ดวิน สแตนตั้น (Ambassador Edwin Stanton ) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในการดื่มน้ำชาร่วมกันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2491 ที่สถานทูตสหรัฐ ว่ากรณีสวรรคตอันเศร้าสลดคงจะต้องเป็นความลับสุดยอดของประเทศไปแล้ว แม้ว่าหลักฐานต่างๆที่มีการรวบรวมกันในขณะที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น มีแนวโน้มที่จะพัวพันเชื่อมโยงมุ่งไปที่กษัตริย์ภูมิพลองค์ หลวงธำรงค์และนายปรีดีเองต่างก็อยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมปากแบบเดียวกัน เพราะถ้ามีการเปิดเผยว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เกี่ยวข้องกรณีสวรรคตอย่างแท้จริง เชื่อว่ากษัตริย์ภูมิพลคงจะต้องสละราชสมบัติ และคงเกิดเรื่องสับสนอลหม่านติดตามมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิตจะเป็นรัชทายาทผู้สืบราชสมบัติองค์ต่อไป แต่พระองค์เจ้าจุมภฏฯ และพระชายาไม่ได้รับความนิยม รัชทายาทองค์ต่อมาจากพระองค์เจ้าจุมภฏคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ก็ไม่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ขณะที่อำนาจของสถาบันกษัตริย์ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย


ควง อภัยวงศ์ ( 2445 - 2511 )
ในเวลานั้น ได้เกิดความตื่นตระหนกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลปฏิเสธที่จะเสด็จกลับจากเมืองโลว์ซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และความกังวลใจเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลมีส่วนรู้เห็นในกรณีสวรรคต ซึ่งจะสั่นสะเทือนสถานภาพของพระองค์  ผู้นำของกลุ่มนิยมระบอบกษัตริย์รวมทั้งนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 
มรว.เสนีย์ ปราโมช ( 2448 -2540 )

และพี่น้องตระกูลปราโมชคือ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ และ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ได้ร่วมกันวางแผนเตรียมการประกาศว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ โดยพวกเขาหวังว่าจะเป็นการบังคับให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติเพื่อเปิดทางให้กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 
Kenneth Landon ( 2446- 2536)
นายเคนเนท แลนดอน ( Kenneth Landon ) ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานฝ่ายเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งโทรเลขถึงกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่20 กุมภาพันธ์ 2491มีข้อความว่า...รายงานล่าสุดจากแหล่งข่าวหลายแห่ง ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ ส่งผลให้ นายควง เตรียมที่จะแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ภูมิพลปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์โดยอุบัติเหตุ ซึ่งกษัตริย์ภูมิพลจะสละราชสมบัติ  ต่อจากนั้นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร จะได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป เนื่องจากพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูง รวมทั้งมีความมั่งคั่งอย่างมากด้วย พร้อมทั้งมีประสบการณ์อย่างยาวนานด้านการเมืองภายในวัง  แต่จอมพล ป พิบูลสงคราม ยืนกรานคัดค้านข้อเสนอของนายควงที่จะให้พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป แม้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ด้วยความตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุก็ตาม จอมพลป.และนายปรีดีเป็นคู่ปรปักษ์หรือศัตรูทางการเมืองซึ่งสังกัดอยู่ในพรรคการเมืองเดียวกัน แม้ว่าเขาทั้งสองเห็นพ้องต้องกันในการต่อต้านไม่ให้สถาบันกษัตริย์กลับคืนสู่อำนาจอีก แต่พวกเขาไม่ได้ต่อต้านกษัตริย์ภูมิพลเพราะว่าพระองค์ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและไม่มีบริวารห้อมล้อม จอมพล ป ซึ่งเป็นนายทหารผู้มีอิทธิพลมากของกองทัพ ได้รีบทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของนายควง ในเดือนเมษายน  2491  เพราะจอมพล ป. ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลครองราชบัลลังก์ต่อไป โดยจะใช้พยานหลักฐานในคดีสวรรคตมาต่อรองผลประโยชน์กับกษัตริย์ภูมิพลได้ในภายหลัง

เฉลียว บุศย์ และชิต ในศาล
การพิจารณาคดีการเสด็จสวรรคตของในหลวงอานันท์ได้เริ่มขึ้น ในตอนบ่ายของวันพุธที่ 
28กันยายน 2491 โดยมีมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี รวมทั้งนายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเป็นอดีตราชเลขาธิการ  ถูกกล่าวหาว่า สมคบกันทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ การพิจารณาคดีและการอุทธรณ์ได้ถูกดึงให้ยืดเยื้อเป็นเวลามากกว่า 6 ปี
ในท้ายที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้เสด็จกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างเมื่อเดือนมีนาคม  
2493 เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพฯพระเชษฐาของพระองค์ และเข้าพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ รวมทั้งพิธีราชาภิเษกสมรสกับ มรว.หญิงสิริกิติ์ กิติยากร  แล้วพระองค์ก็เสด็จออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 6มิถุนายน 2493 ซึ่งเป็นเวลาเพียงสองสามวัน ก่อนที่จะครบรอบการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐา  ต่อมาพระองค์จึงได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์เมื่อปลายปี  2494  กษัตริย์ภูมิพลทรงทราบดีว่า นายบุศย์ ปัทมศรินนายชิต สิงหเสนี และนายเฉลียว ปทุมรส ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับการปลงพระชนม์ของพระเชษฐาของพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่กระทำการใดๆ เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา  บุคคลทั้งสามได้ถูกประหารชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2498 ด้วยข้อหาอาชญากรรมที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำแต่อย่างใด


กษัตริย์ภูมิพลได้เปลี่ยนคำให้การของพระองค์เองหลายครั้ง ทั้งๆที่กษัตริย์ภูมิพลเคยยืนยันอย่างแข็งขันไม่กี่วันหลังจากที่พระเชษฐาสวรรคตว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่พระองค์กลับยกเลิกคำให้การเหล่านั้นในการพิจารณาคดีครั้งต่อมา โดยพระองค์หันไปเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลายเรื่อง ที่เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือคือให้ร้ายนายเฉลียว ปทุมรส  กษัตริย์ภูมิพลได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ บีบีซี ซึ่งออกอากาศเมื่อปี 2523 โดยแก้ตัวว่า การคดีสวรรคตเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อน จากการอำพรางคดีโดยบุคคลหลายคนที่มีอำนาจมากทั้งในและต่างประเทศที่ไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง 


William Stevenson กับภูมิพล
ระหว่างปีทศวรรษ 2530 กษัตริย์ภูมิพลยังได้ให้นายวิลเลียม สตีเวนสัน ( William Stevenson นักเขียนชาวแคนาดา เขียนชีวประวัติกึ่งทางการโดยกษัตริย์ภูมิพลแต่งเรื่องว่านายมาซาโนบุ ซูจิ (Masanobu Tsuji )นายทหารที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นได้ลักลอบเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง โดยปลอมตัวเป็นพระภิกษุ 
Masanobu Tsuji ( 2444-2504 )
ทั้งๆที่นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กรุงเทพเลย ในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกปลงพระชนม์ การเปลี่ยนเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่าไปเรื่อยๆของกษัตริย์ภูมิพลเอง แสดงให้เห็นพิรุธว่า กษัตริย์ภูมิพลพยายามปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน  2489  โดยที่กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยให้คำอธิบายที่น่าเชื่้อถือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกเกี่ยวที่ภายในวงการระดับสูงของประเทศไทย กลับรับรู้กันมาตลอดว่า กษัตริย์ภูมิพลเองที่เป็นผู้ปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุ 

บันทึกของนางมากาเร็ต แลนดอน
(
Margaret Landon) 



Margaret และ Kenneth Landon
นางมากาเร็ต แลนดอนเป็นภรรยาของนายเคนเนท แลนดอน (Kenneth Landon )นักการทูตสหรัฐอเมริกาเมื่อปี  2514 ได้เขียนบันทึกด้วยลายมือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเก็บไว้ที่หอสมุดวิทยาลัยวีตั้น (Wheaton College ) สหรัฐอเมริกา  อ้างการสนทนากับนางลิเดีย ณ ระนอง ( Lydia Na Ranong ) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลผู้ดีของจีนและเป็นคนสนิทของกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงในกรุงเทพฯที่ได้เล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาจากแวดวงของพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ว่า มหาดเล็กทั้งสองคน คือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี ได้รู้เห็นต่อการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์

โดยที่อดีตราชเลขาธิการ คือ นายเฉลียว ปทุมรส มีความสัมพันธ์เป็นชู้สาวกับนางสังวาลย์ และอยู่ในห้องบรรทมของพระนางในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกยิงสวรรคต โดยพระนางสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระชนนีมาจากตระกูลสามัญชนและไม่เคยได้รับความชื่นชอบ จากกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่เลย  


วไลยอลงกรณ์ สว่างวัฒนาและมหิดล
พระนางเจ้าสว่างวัฒนาส่งเจ้าฟ้ามหิดลไปเรียนที่อเมริกา ได้ส่งเด็กสาวให้เป็นผู้ติดตามไปด้วยสองคนไปเรียนให้ดูเหมือนว่าไปเรียนด้วยกัน แต่ที่จริงแล้วก็ส่งไปเป็นเมียน้อยเพื่อประกบเจ้าฟ้ามหิดล เพราะพระนางสว่างวัฒนากลัวว่าเจ้าฟ้ามหิดลจะไปได้ผู้หญิงต่างชาติเป็นเมีย  
เจ้าฟ้ามหิดลกับนส.สังวาลย์
แต่เจ้าฟ้ามหิดลได้ตกหลุมรักกับนางสาวสังวาลย์และตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับเธอ ซึ่งได้สร้างความตกตะลึงในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์เป็นอย่างมาก โดยมีแนวโน้มว่าพระนางเจ้าสว่างวัฒนาและรัชกาลที่ คงยังคงปฎิเสธที่จะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส แต่เจ้าฟ้ามหิดลเองได้วางแผนให้เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นผู้ประกอบพิธีอภิเษกสมรสให้จนสำเร็จ แต่พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังแสดงความเกลียดชังต่อนางสังวาลย์ตลอดมา

ในตอนเช้าของวันที่ 
9 มิถุนายน 2489 ในหลวงอนันท์อานันท์ยังประชวรอยู่ โดยบรรทมอยู่บนเตียงพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาเล่น เจ้าฟ้าชายภูมิพลเสด็จเข้ามาข้างในห้องบรรทม ในหลวงอานันท์จับปืนขึ้นจ่อมาที่พระเศียรของเจ้าฟ้าภูมิพลและกล่าวว่า  ฉันสามารถฆ่าเธอได้  แต่เจ้าฟ้าภูมิพลก็แย่งปืนมาและยกปืนจ่อที่พระเศียรของในหลวงอานันท์ แล้วกล่าวว่า“ ฉันก็ฆ่าเธอได้เช่นกัน   ในหลวงอานันท์ ร้องว่า เหนี่ยวไกเลย  เหนี่ยวไกเลย 

พระอนุชาขึ้นเป็นกษัตริย์ภูมิพลหลังยิงพระเชษฐา
เจ้าฟ้าภูมิพลก็ทำตามนั้นและก็ได้สังหารหรือปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์จริงๆ นางลิเดียเชื่อว่า การปลงพระชนม์เป็นอุบัติเหตุ และมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีการจัดการสะสางข้อเท็จจริงกันเลย เจ้าฟ้าภูมิพลตกใจจนลนลานและหวาดกลัวสุดขีด  หลังจากนั้น มหาดเล็กสองคนก็ต้องถูกประหารชีวิตเนื่องจาก ได้เห็นการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า   พระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า พระชนนีสังวาลย์ควรจะต้องยืนกรานที่จะเปิดเผยความจริงให้เป็นที่รับรู้กัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการสวรรคตเป็นเรื่องของอุบัติเหตุโดยแท้ มิใช่การฆาตกรรมหรือเจตนาปลงพระชนม์  และประชาชนควรได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้น เจ้าฟ้าภูมิพลควรสละราชสมบัติไปเป็นพระภิกษุตลอดชีวิตและยินยอมให้ราชสมบัตินั้นเปลี่ยนผ่านไปยังสมาชิกของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นแทน วิธีการนี้จะเป็นวิถีทางที่น่ายกย่องซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุจริตใจ 

พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์

ฝ่ายพระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า การสืบราชสมบัตินั้นจะถูกผ่านมายังพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทั้งๆที่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ได้ถูกกันออกไปแล้วตามพระประสงค์ของรัชกาลที่เนื่องจากว่า พระมารดาของพระองค์เป็นชาวรัสเซีย บุคคลที่น่าจะได้รับการเลือกให้สืบราชบัลลังก์ตามหลักแล้วน่าจะเป็นพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร แต่พระองค์ไม่มีพระโอรส และมีแต่เพียงพระธิดา ซึ่งสมรสกับผู้ชายชาวฝรั่งเศส นายปรีดี พนมยงค์ มีจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเขียนโดยจอม ป พิบูลสงคราม  1 ปีก่อนหน้าที่จอมพลแปลกจะถึงแก่อสัญกรรม โดยยอมรับสารภาพว่า ข้อกล่าวหาให้ร้ายนายปรีดีในกรณีสวรรคตล้วนเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น และตัวจอมพล ป.เอง ก็รู้ดีในเรื่องนี้
...................

16 comments:

  1. หาประวัติ รร.บดิน จากนั้นมาโผล่ที่นี้....

    ReplyDelete
  2. สรุปเรื่องไหนคือเรื่องจริง

    ReplyDelete
  3. https://www.youtube.com/watch?v=YtkxdWPL9Rw ถ้าทำจริงจะไม่กล้าพูดขนาดนี้ งมโข่งต่อไป เปิดตาเปิดความคิดบ้าง

    ReplyDelete
  4. เล่าซ่ะยังกับเห็นกับตา 55555 กุต้องเชื่อมั้ยนะ

    ReplyDelete
  5. กุว่าละ เพจนี่แมร่งพวกนรกแดง อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เวรกรรมมีจริง

    ReplyDelete
  6. บันทึกของมากาเร็ต แลนดอน ฟังมาจากลิเดีย ระนอง ฟังมาจากข่าวซุบซิบ ฟังมาจากมหาดเล็ก ฟังมาอีกที ฟังมากี่ทอดละนั่น

    ถถถถถ
    นั่งเทียนแบบนี้ใครก็เขียนได้
    มีความน่าเชื่อถือพอๆกับข่าวซุบซิบดารา

    ReplyDelete
  7. บันทึกของมากาเร็ต แลนดอน ฟังมาจากลิเดีย ระนอง ฟังมาจากข่าวซุบซิบ ฟังมาจากมหาดเล็ก ฟังมาอีกที ฟังมากี่ทอดละนั่น

    ถถถถถ
    นั่งเทียนแบบนี้ใครก็เขียนได้
    มีความน่าเชื่อถือพอๆกับข่าวซุบซิบดารา

    ReplyDelete
  8. เข้ามาฮาอย่างเดียว อยากรู้ว่าจะตลกขนาดไหน เพียรเขียนเข้าไป เลวมาก ขอให้กรรมตามทันแบบติดจรวด พวกนี้เร็วๆ ด้วยเถอะ 7 ชั่วโครตยังไม่หนำใจ สาธุๆ

    ReplyDelete
  9. อ่านก็รู้เลวมั่ว ชาติชั่ว ขอให้กรรมตามทันติดจรวดด้วยเถอะ สาธุๆๆๆ

    ReplyDelete
  10. ไอ่พวกโสโครก..ถ่อย..สถุน..มันคิดว่าใครจะเชื่อมัน..!!?

    ReplyDelete
  11. ไอ่พวกโสโครก..ถ่อย..สถุน..มันคิดว่าใครจะเชื่อมัน..!!?

    ReplyDelete
  12. ฉันไม่ได้รักในหลวงร.9 เพราะมีใครบอกให้รัก
    แต่ฉันรักท่านเพราะการกระทำที่ผ่านมาตลอด70ปีมากกว่า ถ้าท่านชั่วช้าอย่างที่ผีเปรตตัวนี้เขียนมา ท่านคงตบตาคนทั้งประเทศมายาวนานเช่นนี้ได้หรอก
    ปล.ถึงไอ้คนเขียน #กูขอให้มึงฉิบหายตายไปเป็นผีเปรต ไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วกัปชั่วกรรณ สาธุ

    ReplyDelete
  13. ฉันไม่ได้รักในหลวงร.9 เพราะมีใครบอกให้รัก
    แต่ฉันรักท่านเพราะการกระทำที่ผ่านมาตลอด70ปีมากกว่า ถ้าท่านชั่วช้าอย่างที่ผีเปรตตัวนี้เขียนมา ท่านคงตบตาคนทั้งประเทศมายาวนานเช่นนี้ได้หรอก
    ปล.ถึงไอ้คนเขียน #กูขอให้มึงฉิบหายตายไปเป็นผีเปรต ไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วกัปชั่วกรรณ สาธุ

    ReplyDelete
  14. บทความนี้ข้อมูลมั่วมากครับ เป้นต้นว่า การแถลงการณ์ว่าเป็นอุบัติเหตุมาจากปรีดีย์เองครับไม่ใช่สมเด็จย่า

    ReplyDelete
  15. ถ้ามหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี เป็นฆาตกรจริง
    ทำไมลูกหลานทั้ง 2 ฆาตกร ยังมีหน้ามีตาทำงานอยู่ในวังได้

    ReplyDelete
  16. เชิญไปอ่านบันทึกสำนวนคดี และคำพิพากษานะครับ คอมเมนท์บน นายสามคนนี้ไม่ได้ถูกประหารเพราะเป็นคนฆ่า แต่เพราะบกพร่องในหน้าที่จนทำให้พระมหากษัตริย์ถูกปลงพระชนม์

    ReplyDelete